ควรให้นักเรียนได้ฝึกขับร้องเพลงไทยบ่อยครั้งเพื่อให้เกิดความชำนาญ 2. ควรจัดให้มีการทดสอบเพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนาการขับร้องเพลงตลอดเวลา 3. ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนดนตรีเพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง มีสมาธิและวินัย ในตนเองที่ดียิ่งขึ้น 4. กลุ่มนักเรียนที่ต้องพัฒนาได้แก่ นักเรียนที่เรียนดนตรีประเภทอื่นๆ ควรได้รับการพัฒนาเพื่อให้เกิด ความชำนาญมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนนักเรียนที่เรียนดนตรีไทยควรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ร้องให้ถูกตามบทร้องเช่น พุทธา นุภาพ นำผล ข. ออกเสียง ร ล หรือควบกล้ำให้ชัดเจน ค. ออกเสียงสั้นยาวให้ถูกต้อง เช่น เสร็จ สนุก ฯลฯ ควรอ่านบทร้องก่อน โดยให้รู้จักวรรคตอนให้ถูกต้องตามลักษณะของบทร้อง ฝึกออกเสียง ร ล ฯลฯ คำสั้น-ยาว ให้ถูกต้องเสียก่อนจึงเริ่มขับร้อง ๖. เสียงเอื้อน สัญลักษณ์ของเพลงไทย คือการทำเสียงให้เป็นทำนองเรียกว่า เสียงเอื้อน เสียงเอื้อนเป็นเสียงที่ผ่านออกมาจากลำคอโดยตรง มีอยู่มากมายหลายเสียงและมีที่ใช้ต่างกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงบางเสียงที่ใช้กันมาก ก. เสียงเออ เป็นเสียงสำคัญมาก คือ มีหน้าที่เป็นเสียงนำ ใช้กันมากในการขับร้อง วิธีทำเสียง "เออ" ตั้งตัวให้ตรง เพื่อประโยชน์ในการออกเสียง อ้าปากเล็กน้อย พร้อมกับเปล่งกระแสเสียงออกจากคอให้ดังพอสมควร บังคับเสียงให้มีน้ำหนักที่คอแรงหน่อย กระดกปลายลิ้นขึ้นไม่ให้โดนฟันล่าง และบน เพื่อให้เสียงโปร่งและชัดเจน ระบายเสียงออกไปเรื่อยๆอย่าให้ฟันบนและฟันล่างกระทบกันการใช้กำลังเสียงควรเป็นระดับเดียวกัน โดยไม่ต้องขยับคาง ข. เสียงเอย มีที่ใช้ในตอนสุดวรรค หรือหมดเอื้อน หรือวรรค ของเอื้อน จะขึ้นบทร้อง วิธีทำเสียง "เอย" ลักษณะการออกเสียงเป็นไปเช่นเดียวกับการออกเสียง "เออ" แต่เมื่อจะให้เป็นเสียง "เอย" ก็ให้เน้นที่มุมปาก โดยให้ปลายลิ้นแตะฟันล่าง
ในการขับร้องเพลงไทยให้ได้ความไพเราะซาบชึ้ง เกิดจากการผู้ขับร้องใส่อารมณ์และความรู้สึกในบทเพลง การใส่อารมณ์ในการบัขร้องเป็นเรื่องที่ทำค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับร้องมาเป็นระยะเวลาพอสมควร การสร้างอารมณ์ในการชับร้องต้องอาศัยส่วนประกอบอื่น ๆ 1. การใช้เสียงพิเศษ -เสียงพิเศษที่ใช้ในการชับร้องเป็นเทคนิคที่นักร้องในสมัยโบราณนิยมใช้กันมากและนักร้องทุก ๆ คนจะพยายามฝึกฝนเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้การขับร้องเพลงได้ไพเราะยิ่งขึ้นแต่การใช้เสียงพิเศษนี้ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน นักร้องที่ไม่ได้ฝึกฝนไม่สามารถจะทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร 2. การแสดงออกถึงอารมณ์ในการขับร้อง -การขับร้องเพลงไทยให้ได้ความไพเราะซาบชึ้ง เกิดจากผู้ขับร้องใส่อารมณ์และความรู้สึกในบทเพลง การใส่อารมณ์ในการขับร้องเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้ขับร้องที่จะร้องเพลงให้ได้อารมณ์นั้น 3. การแสดงออกทางบุคลิกภาพ -บุคลิกภาพของนักเรียนและนักดนตรีมีความสำคัญมาก ผู้บรรเลงและผู้ขับร้องจะอยู่ในอาการที่สงบเสงี่ยม เรียนร้อย นุ่มนวล อ่อนโยน ไม่กระด้าง ลักษณะของผู้ที่จะฝึกขับร้องเพลง ผู้ที่จะสามารถขับร้องเพลงให้ไพเราะได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัวหลายประการซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีความสามารถในการฝึกหัดขับร้องเพลง ควรมีลักษณะ ดังนี้ 1.
เพลงขับร้อง หมายถึง เพลงที่เขียนขึ้นมาโดยมีเนื้อร้องมีจุดประสงค์ที่ทจะให้มีทั้งการขับร้องและการบรรเลงดนตรีประกอบเข้าด้วยกัน บทเพลงที่จัดอยู่ในประเภทเพลงขับร้องมีอยู่หลายชนิดดังนี้ เพลงเถา เพลงเถา หมายถึง เพลงประเภทบรรเลงและขับร้อง ด้วยอัตราจังหวะช้า ปานกลาง และเร็ว โดยบรรเลงและขับร้องต่อเนื่องกันไปไม่ขาดระยะ ปกติเริ่มอัตราจังหวะสามชั้น สองชั้น และชั้นเดียว มี 4 ลักษณะดังนี้ 1. เพลงเถา ที่เกิดขึ้นจากการนำเพลงอัตราจังหวะสามชั้นมาตัดแต่งลงเป็น อัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว เช่น เพลงสุดสงวนเถา เพลงเทพบรรถม เพลงภิรมย์สุรางค์เถา เป็นต้น 2. เพลงเถา ที่เกิดขึ้นจากการนำเพลงอัตราจังหวะสองชั้นของเดิมมาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้น และแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียว เช่น เพลงโสมส่องแสงเถา เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงการเวกเล็กเถา เพลงขอมทรงเครื่องเถา เป็นต้น 3. เพลงเถา ที่เกิดขึ้นจากการนำเพลงอัตราจังหวะชั้นเดียวมาแต่งขยายเป็นอัตาจังหวะสองชั้นและสามชั้น เช่น เพลงเทพทองเถา เพลงหงส์ทองเถา เป็นต้น 4. เพลงเถา ที่เกิดขึ้นใหม่โดยไม่มีต้นเค้ามาจากเพลงใด โดยมากจะเกิดขึ้นโดยจินตนาการและอารมณ์ของศิลปินแต่ยังคงยึดรูปแบบของเพลงเถาเหมือนเดิม เช่น เพลงสุดาสวรรค์เถา เพลงสมโภชพระนครเถา เพลงชื่นจิตเถา เป็นต้น ///////////////////////////////////////////////// เพลงตับ เพลงตับ หมายถึงเป็นเพลงประเภทบรรเลงและขับร้องหลายๆ เพลงเรียงรวมกันเป็นชุด มีทั้งที่เป็นเพลงอัตราจังหวะสามชั้น เพลงอัตราจังหวะสองชั้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้นแทบทั้งสิ้น เพลงตับ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ 1.
อิ! สวัสดี "ขุนอิน"
92veso.com, 2024 | Sitemap