หมายเหตุ "มติชน" – การเคลื่อนไหวของเยาวชนที่ผ่านมา หนึ่งในข้อเรียกร้องที่พูดถึงคือการจัดรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับประชาชนจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน แน่นอนว่าการจะเป็นรัฐสวัสดิการไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย หรือได้มาฟรีๆ แต่มีต้นทุนที่เราต้องจ่ายเช่นกัน สัปดาห์นี้จึงชวนไปดูตัวอย่างของการบริหารรัฐสวัสดิการในสวีเดน ตั้งแต่ที่มา วิธีการทำสวัสดิการที่มอบให้กับประชาชน ไปจนถึงปัญหาและอุปสรรค จากความยากจนมาสู่ความมั่นคงอย่างถ้วนหน้า ในช่วงปี ค. ศ. 1700 – 1800 สวีเดนเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ยากจนที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป เกิดความแร้นแค้นอดอยากในหลายพื้นที่ จนชาวสวีเดนจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ เพื่อแสวงหาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี ค. 1760 สวีเดนได้เปิดรับเอาความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ จนกระทั่งในช่วงปลายยุค 1800 สวีเดนได้ก้าวสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม การขยายตัวทางเศรษฐกิจมาพร้อมกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ระบบคมนาคมได้รับการพัฒนา รวมทั้งเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงเป็นแรงงานที่ยากจน ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่ตระกูลใหญ่ๆ ผูกขาดการลงทุนในธุรกิจ จนเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างบ่อยครั้ง ปัญหาความเหลื่อมล้ำนอกจากจะเป็นปัญหาทางสังคม ยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของสวีเดน โดยในช่วง ค.
05 หรือเงินสนับสนุนค่าที่พักอาศัยสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี ดลวีร์ วรานนท์ สวิตา ศิริรัตน์
1920 สวีเดนประสบวิกฤตการเมืองจากการที่ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมาก ประชาชนไม่มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในพรรคการเมือง จนเกิดภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อย และนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลและการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ถึง 10 ครั้งในระยะ 10 ปี จนในปี ค. 1928 นายแพร์ อัลบิน ฮอนส์สอน จากพรรคสังคมประชาธิปไตย ได้หยิบยกแนวคิด "Folkhemmet" (บ้านของประชาชน) ขึ้นมาใช้หาเสียงเลือกตั้ง แนวคิด "บ้านของประชาชน" คือ "การสร้างความรู้สึกมั่นคงในการดำรงชีวิตแก่ประชาชน ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความเป็นพลเมือง มีความเชื่อมโยงกัน รู้สึกถึงความเป็นบ้าน" โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ทำให้แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มแรงงาน ผลคือนายแพร์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสวีเดน ระหว่างปี ค. 1932-1946 ซึ่งถือเป็นช่วงที่มีการปฏิรูปทางสังคมที่สำคัญของสวีเดน โดยรัฐบาลเริ่มเก็บภาษีความมั่งคั่ง เพื่อนำไปพัฒนาระบบสวัสดิการ ซึ่งเพิ่งยกเลิกจัดเก็บไปเมื่อปี ค. 2007 เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศมากขึ้น การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมของสวีเดนใช้เวลานานเกือบศตวรรษ กฎหมายบางฉบับใช้เวลายาวนานกว่าจะได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา แต่ในภาพรวม พรรคสังคมประชาธิปไตย ถือเป็นพรรคที่ได้วางรากฐานรัฐสวัสดิการให้กับสวีเดน กฎหมายสำคัญหลายฉบับที่พรรคสังคมประชาธิปไตยมีบทบาทผลักดัน เช่น กฎหมายเงินบำนาญแห่งชาติ ในปี ค.
1935 กฎหมายการลาประจำปี ในปี ค. 1938 และการประกันสุขภาพสาธารณะ ในปี ค. 1955 ภาคเอกชนของสวีเดนก็มีส่วนร่วมผลักดันให้สวีเดนเป็นรัฐสวัสดิการที่มีคุณภาพ เช่น เมื่อปี ค. 1938 สหภาพการค้าสวีเดนกับสมาคมนายจ้างสวีเดน ได้มีการทำสัญญาร่วมกันในการกำหนดเงื่อนไขการจ้างงานและสิทธิแรงงานที่เป็นธรรม เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมไปถึงการจัดตั้งสหภาพแรงงานต่างๆ ที่ดูแลผลประโยชน์ของลูกจ้างอย่างจริงจัง เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการต้องเก็บภาษีเท่าไร ภาษีเป็นหัวใจของระบบรัฐสวัสดิการ คนสวีเดนยินดีจ่ายภาษี เพราะนอกจากจะเป็นหน้าที่ของประชาชนแล้ว ยังเชื่อมั่นว่ารัฐจะนำเงินภาษีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ ผู้ที่หนีภาษีจะได้รับโทษตามกฎหมายความผิดด้านภาษี ในปี ค. 2019 มีการตรวจพบผู้เข้าข่ายต้องสงสัยหนีภาษี 16, 795 คน ซึ่งหากผิดจริงอาจมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 2 ปี และจะเสียสิทธิทางสังคมหลายอย่าง เช่น ไม่ได้รับเงินชดเชยเมื่อเจ็บป่วย ลาพักร้อน หรือลาคลอด รวมถึงมีผลกระทบกับเงินเกษียณ และการดำเนินชีวิตในสังคม คนสวีเดนเชื่อมั่นต่อระบบการตรวจสอบภาษีและการทำงานของกรมสรรพากร ผลสำรวจเมื่อปี ค. 2019 พบว่า กรมสรรพากรสวีเดนได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนเป็นอันดับที่ 9 จากหน่วยงานราชการทั้งหมด 40 แห่ง ปัจจุบัน การเก็บภาษีในสวีเดนหลักๆ แบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ 1.
6 ส. ค. 2019 สวีเดน ประเทศที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกในทุกด้าน / โดย ลงทุนแมน ประเทศที่อยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย มักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในเรื่อง ระบบการศึกษา ความเท่าเทียมกัน สวัสดิการรัฐ รายได้ต่อหัว ลงทุนแมนเคยเขียนถึงประเทศฟินแลนด์ และนอร์เวย์ไปแล้ว แต่มีอีกประเทศหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ สวีเดน ประเทศนี้น่าสนใจขนาดไหน ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง สวีเดนตั้งอยู่แถบยุโรปเหนือ อยู่ติดกับประเทศนอร์เวย์ และใกล้กับฟินแลนด์ ประเทศนี้มีทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และภูมิอากาศไม่หนาวเย็นเท่าประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในแนวละติจูดเดียวกัน เนื่องจากได้รับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม สวีเดนมีพื้นที่ 449, 964 ตร. กม. โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศประกอบด้วยป่าไม้ และ ภูเขาสูง มูลค่า GDP ของสวีเดนคือ 17 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทย ที่มี GDP มูลค่า 15 ล้านล้านบาท แต่ที่ไม่ใกล้เคียงก็คือ ประชากรชาวสวีเดน มีเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งทำให้คนสวีเดนมี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 1. 7 ล้านบาทต่อปี สูงกว่าประเทศไทย 7 เท่า การที่สวีเดนมีประชากรไม่มาก ทำให้ตลาดการบริโภคภายในประเทศมีจำกัด ดังนั้นเศรษฐกิจของประเทศจึงต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยผลผลิต และการส่งออกกว่าครึ่งจะเกี่ยวข้องกับภาควิศวกรรม อุตสาหกรรมสำคัญๆ ได้แก่ ไม้ เหล็ก รวมถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น รถยนต์ อากาศยาน ยา เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอาวุธ Cr.
9 ล้านบาทต่อปี จากตัวเลขดังกล่าว ก็บอกได้ว่าสวีเดนให้ความสำคัญกับการปกครองส่วนท้องถิ่นมาก โดยภาษีที่ส่วนกลางของภาครัฐฯ ได้รับจะมีน้อยกว่าเสียอีก ซึ่งต่างจากการจ่ายภาษีของคนไทยที่จ่ายให้ส่วนกลาง แล้วส่วนกลางค่อยไปจัดสรรงบให้ท้องถิ่นอีกที จากตัวเลขของสหพันธ์ธุรกิจสวีเดน หรือ Confederation of Swedish Enterprise รายงานว่าในปี 2018 มีประชากรจำนวนมากถึง 14% หรือราว 1. 4 ล้านคน ที่เสียภาษีในอัตรามากกว่า 51% แล้วทำไม ชาวสวีเดนจำนวนมากจึงยินดีที่จะให้รัฐเก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้?
รัฐสวัสดิการ สวีเดน ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะยังประโยชน์ให้ท่านผู้อ่านที่สนใจในเรื่อง "รัฐสวัสดิการ" ได้บ้างไม่มากก็น้อย และหวังไปไกลว่าวันหนึ่งเราคงได้มีโอกาส... หนังสือ 370.
โอกาสที่เท่าเทียมกัน (Equality of opportunity) 2. การกระจายความมั่งคั่ง (รายได้) อย่างยุติธรรม (Equitable distribution of wealth) 3.
92veso.com, 2024 | Sitemap